เทศน์เช้า วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ดูสิ อากาศมันครึ้ม แต่ร้อน เราดูท่าทางจะมีความสุขนะ เวลาระดับจีดีพีของประเทศเขาวัดกัน ในบริเวณนี้เมืองไทยมีค่ามากกว่าเขาเพื่อน นี่ความเจริญของเราไง เขาว่ามีความสุข เรามีความสุขไหมล่ะ นี่ก็เหมือนกัน เราก็มองของเราน่ะว่าเรามีความสุข มีความสุขนะ เราแสวงหาสิ่งใดก็แล้วแต่ เราแสวงหา แต่มันเป็นความจริงไหม มันจริงตามสมมุติไง จริง! จริงตามสมมุติ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นความจริงทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่เป็นความจริงแล้วทำไมสัมผัสได้ล่ะ เราสัมผัสได้หมดน่ะ แต่มันมีของชั่วคราวไง
แต่ความจริงอันหนึ่ง มันมีความจริงที่จริงแท้อยู่อันหนึ่งอยู่ในหัวใจของเรา ความจริงแท้อันนี้มันโดนกลบไว้ไง โดนกลบไว้ด้วยสัญชาตญาณของเรา สัญชาตญาณของเราในการหลบภัย สัญชาตญาณมันแสดงออกทั้งนั้น ถ้ามันมีภัย มันแสดงออกมาโดยสัญชาตญาณ สิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์นะ
ถ้าเป็นสัญชาตญาณดิบของสัตว์ เวลามีปัญหาขึ้นมามันทำร้ายกันด้วยสัญชาตญาณของมัน สัญชาตญาณในการปกป้อง ดูผู้ที่มีกำลังมากกว่าปกป้องผู้มีกำลังน้อยกว่า นั่นคือสัญชาตญาณของเขา สัญชาตญาณอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสิ่งสถานะที่ได้มาในความเป็นมนุษย์ แต่ธรรมะมันมีอยู่ มันอยู่ลึกกว่าสัญชาตญาณอันนั้นน่ะ มันมีอยู่ พลังงานมันมีอยู่ แต่พลังงานนี้มันโดนอวิชชา คือความไม่รู้ของมันกลบไว้ พอกลบไว้เราก็ทำคุณงามความดีของเรา
เราสร้างคุณงามความดีของเรา เราปรารถนาคุณงามความดีของเรา เราปรารถนา เราพยายามสร้างของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ เห็นไหม มันทำได้ยาก ดูอย่างเช่นการเสียสละ การเสียสละทาน ทานนี่เป็นสิ่งจำเป็นมาก ความจำเป็นมากเพราะเรามีการฝึกฝน ดูสิ เรามีลูกมีหลานขึ้นมาเราต้องการให้ลูกหลานได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีการศึกษาที่ดี มีสังคมที่ดี ลูกเราจะมีความสุข ทาน การเสียสละทาน หัวใจอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี หัวใจ สัญชาตญาณ การนึกคิด มันมีการเสียสละ มีการให้ สิ่งแวดล้อมน่ะ สัญชาตญาณ แต่หัวใจ สิ่งที่เป็นพลังงาน มันอยู่ใต้สัญชาตญาณอันนั้น ถ้าเรามีการเสียสละ มีการฝึกฝนมัน ความย้ำคิดย้ำทำมันจะเป็นจริตนิสัย การเสียสละของเรา ให้จิตมันพัฒนาการของมันขึ้นมา ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เราหาสิ่งแวดล้อม เราสร้างสิ่งแวดล้อมให้กับใจของเรา แต่เราไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมให้ใจของเรานะ ใจของเรา ถ้ามันมีการฝึกฝน มีการเสียสละขึ้นมาน่ะ มีการเสียสละเพื่อใคร? เพื่อพลังงานอันนั้นน่ะ แล้วพลังงานอันนี้ มันไม่มีใครดูแลมัน
เวลาเราทุกข์เรายาก เราต้องการให้คนช่วยเหลือหรือคนเจือจาน หัวใจของเราทุกข์ยากนะ แล้วหัวใจของเรา ดูสิ พ่อแม่ในครอบครัวของเราก็ได้แต่ปลอบประโลมกันเท่านั้นน่ะ ปลอบประโลมกัน ของอย่างนี้เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ให้มีความอดทนไว้ การปลอบประโลมกันมันปลอบกันจากข้างนอก แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อน่ะ มันจะเข้าไปถึงพลังงานตัวนี้ ถ้าพลังงานตัวนี้เพราะอะไร เพราะพุทธะไง หัวใจมันอยู่กับเรานะ นี่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปฏิสนธิจิต พลังงานตัวนี้ พลังงานสิ่งที่มันไม่ตาย ก็ว่าใจอยู่ที่ไหนๆ เวลาใจอยู่ที่ไหน เราก็ว่าไปอยู่ที่ความคิดๆ อาการของใจ เปลือกของมัน.. ส้ม เปลือกส้ม หยิบไปมีแต่เปลือกส้ม เปลือกส้มมันขมนะ แต่เปลือกส้มมันรักษาเนื้อส้มไว้ นี่ไง ความคิดมันรักษาพลังงานอันนั้นไว้ พลังงานไม่ใช่ความคิด ถ้าพลังงานคือความคิด เวลาเราไม่คิด พลังงานนั้นต้องไม่มี เราไม่คิดพลังงานก็มีอยู่ เราคิดก็คิดจากพลังงานนั้น เวลาไม่คิดพลังงานมันอยู่ไหน หัวใจที่มันอยู่ที่ความคิดมันบอกว่าอาการของใจ เราก็ว่าใจอยู่ไหนๆ เวลาประพฤติปฏิบัติกันก็ว่าใจคือความคิด ความคิด ความรู้สึก นี่เป็นใจ เป็นความรู้สึก เป็นใจ.. ความรู้สึกเห็นไหม มันเป็นอารมณ์ เป็นสัญญาอารมณ์
ความรู้สึกอะไร ความรู้สึกในสิ่งพอใจหรือไม่พอใจสิ่งใด สิ่งนี้มันเป็นอะไร สิ่งที่เราไม่พอใจ พอใจ มันมาจากไหน มันก็มาจากข้อมูลไง มาจากพลังงานอันนั้นไง พลังงานอันนั้นน่ะ ปฏิสนธิจิตมันเวียนตายเวียนเกิดไง มันสะสมมานะ การสะสมมาจนเป็นจริตเป็นนิสัย จริตนิสัยของแต่ละบุคคลมันเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต สิ่งที่เป็นอดีตมา สิ่งนี้เราแก้ไขไม่ได้ เราจะปฏิเสธได้อย่างไร อย่างเช่นจริตนิสัยเราชอบสิ่งใด เราจะบอกไม่ชอบไม่ได้ แต่เราต้องใช้ปัญญาต่อสู้กับมัน เราชอบเพราะเหตุใด เราไม่ชอบเพราะเหตุใด นี่เราแก้ไขกันที่ปัจจุบันนี้ เพราะสิ่งที่ปัจจุบันนี้มาจากอดีต อดีตแก้ไม่ได้ แต่แก้ที่ปัจจุบันได้ แต่อดีตเป็นตัวแปร อดีตเป็นข้อมูลที่ว่าให้เราชอบหรือไม่ชอบ รักษาปัจจุบัน
เราว่าเป็นปัจจุบันๆ เราจะปฏิเสธอดีตเลย ถ้าปฏิเสธอดีตเลย ดูสิ ที่การประพฤติปฏิบัติ นามรูปๆ พิจารณาไปเลยๆ นี่เป็นวิปัสสนา เป็นปัญญาสายตรง การวิปัสสนา ปัญญาของเรา นี่มันเป็นปัจจุบันใช่ไหม มันเป็นเทคโนโลยีอันหนึ่ง แต่วัตถุดิบที่จะเข้ามาผลิตในเทคโนโลยีนั่นมันไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกัน สิ่งที่เป็นการใช้ปัญญา มันจะทำได้เหมือนกันไหม นี่ไง เราปฏิเสธอดีตไง เราปฏิเสธที่มาไง เราจะใช้แต่ปัจจุบันๆ ปัจจุบันของใคร ถ้าปัจจุบันธรรมของเรานะ เพราะอะไร เพราะอดีตเรามาอย่างนี้ใช่ไหม พออดีตเรามา เราทำความสงบได้ง่ายไหม ทำความสงบได้ยากไหม
ความสงบ สงบมาก สงบน้อย ความสงบแล้วความสงบแค่ไหนมันจะพอกับจิตของเรา ความชอบ ความพอใจของเรามันแตกต่างกัน ความสงบมันไม่ใช่ว่าต้องตายตัวไง ความสงบก็ไม่ใช่ตายตัว ปัญญาก็ไม่ต้องตายตัว สิ่งตายตัวมันไม่มี มันพอดีสมดุลไง คนหยาบ คนละเอียด เห็นไหม คนหยาบมันก็ต้องหนาหน่อย ความหนาของกิเลสมันหนามากก็ต้องใช้กำลังมากหน่อย ความเจือจางเราไม่ต้องใช้ความหยาบขนาดนั้น ความสงบของใจหมายถึงว่าขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
แต่ถ้าไม่สงบ ความคิดมันเป็นเปลือกของส้มทั้งหมด มันเป็นความขม แต่ด้วยความไม่รู้ของเรา เราเคี้ยวเปลือกส้มเราว่าอร่อยนะ โอ้.. เปลือกส้มนี่มีรสชาติดีมาก เพราะเราไม่เคยกินเนื้อส้มไง เราไม่เคยลิ้มรสของส้ม พอเคี้ยวเปลือกส้ม เขาว่าส้มหวานๆ เราก็เคี้ยวเข้าไปขมมากเลย เขาว่าหวานก็หวานไปตามเขา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าความคิดของเรา ปัญญาสายตรงๆ ถ้ามันยังไม่สงบเข้ามา มันไม่ถึงเนื้อส้ม รสชาติต่างกัน
รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรม สมาธิธรรมมีรสชาติอันหนึ่ง ความสงบของใจมันมีรสชาติอันหนึ่ง ปัญญาที่แก้ไขแล้ว ที่มันปล่อยวาง มันถอดถอนออกมา เป็นอีกรสชาติอันหนึ่ง รสชาติของสมถธรรม ของวิปัสสนาธรรม แตกต่างกัน ความแตกต่างกัน แตกต่างกันได้อย่างไร ดูสิ ดูข้าว รสชาติของข้าวก็อันหนึ่งใช่ไหม รสชาติของอาหารที่เราทำมา นั้นรสชาติมันก็อีกอันหนึ่งใช่ไหม มันไม่เหมือนกัน นี่ก็เหมือนกัน พื้นฐานของมันน่ะ โดยมนุษย์เรากินข้าวเป็นพื้นฐาน แต่ข้าวมันต้องมีกับข้าว มีอาหารมาด้วย ถ้าไม่มีอาหารมาด้วย เรากินมันก็จืดชืด
สมาธิธรรม สมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน เราจะกินอะไร เราจะเอาอะไรเป็นพื้นฐาน ต้องมีความสงบเข้ามาก่อน แต่เขาปฏิเสธความสงบ ถ้าไม่มีความสงบนะ มนุษย์เรามีสงบโดยปุถุชน เราก็มีความสงบของปุถุชนของเรา เรามีความสงบของคน ถ้ามีความสงบของคนนะ คนไม่มีความสงบ ในใจไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ นี่คนบ้าไปแล้ว.. บ้า คนที่อยู่โรงพยาบาล เขาหลุดเข้าไป บ้า เพราะอะไร เพราะเขาขาดสติ เขาขาดความสงบของใจ ความสงบอย่างนี้ต้องมีโดยพื้นฐาน
ถ้าเรามีสมาธิดี ในการหน้าที่การงานของเราก็ไม่ผิดพลาด การงานอย่างนี้ ความคิดอย่างนี้ แก้กิเลสได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นสัญญาอารมณ์ที่เราไปศึกษาธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา จิตมันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์มันก็มีภาพ มีความเห็นของมัน แต่ถ้ามันเป็นปัญญาที่มันไปขุดคุ้ยในหัวใจนะ โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่ไม่มีในโลก ปัญญาที่ไม่มีเกิดจากสังขาร เกิดจากความคิดความแต่ง ปัญญาอย่างนี้เป็นภาวนามยปัญญาไม่ได้ เพราะกิเลสมันเป็นคนสร้างมาให้ ปัญญาที่เราใช้วิชาชีพอยู่นี่ เขาจะมีปัญญามากขนาดไหน ใครจะมีความรู้ความเห็นมากขนาดไหน มันมาจากภวาสวะ มันมาจากภพ
ความคิดมาจากไหน? ในเมื่อมันมีกิเลสอยู่ในหัวใจ ความคิดออกมามันจะเป็นธรรมได้อย่างไร มันก็เป็นความคิดของกิเลสทั้งหมด ทั้งๆ ที่คิดธรรมะนี่ก็เป็นความคิดของกิเลสทั้งนั้นน่ะ เพราะมันมาจากกิเลส มันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร แต่ถ้าเรามีปัญญาใช้ของเรา ปัญญาใช้ความคิดอย่างนี้ย้อนกลับมา พอคิดถึงธรรมะ ความคิด เราคิดที่ไม่ดี นี่เป็นบาปอกุศล ความคิดที่ดี นี่เป็นกุศล เป็นความคิดที่ดีมันต้องเหยียบคันเร่ง ให้มันฝึกฝนของมัน นี่ความคิดอย่างนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันมีความคิดอย่างนี้เป็นพื้นฐาน
สัญชาตญาณน่ะ มันลึกกว่าความคิดนะ สัญชาตญาณเมื่อมันคิดมันจะเป็นกิเลสเลย แล้วนี่เป็นความคิดของเรา มันจะเป็นอะไร ทั้งๆ ที่คิดในธรรมะนี่แหละ คิดในธรรมะ เหมือนกับเราคำนวณปัจจัย คำนวณเงินของคนอื่นน่ะ เราคำนวณเงินของคนอื่น เป็นเงินของเราไหม นี่ไง เราใช้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับคำนวณธรรมะของพระพุทธเจ้า เราใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้ามาคำนวณ แต่ความคำนวณเราเปรียบเทียบได้เป็นข้อมูลใช่ไหม
เราทำการตลาด เราต้องวิจัยตลาดก่อน วิจัยตลาดว่าเราจะทำสินค้าอะไรมาขายได้ นี่ก็เหมือนกัน เราวิจัยความรู้สึกของเรา วิจัยว่าสิ่งนี้ธรรมะพระพุทธเจ้า.. เชื่อ ไม่เชื่อ.. เชื่อแล้วมันจะกระทำไหม
เวลาข้อมูลมันมาแล้ว จิตมันก็ปล่อยวางเหมือนกัน แต่เป็นข้อมูลธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของเรายังไม่เกิด ไม่เกิดเพราะอะไร เพราะเรายังไม่เห็นฐานที่ตั้งของการงาน เรายังไม่รู้จักว่าบริษัทเราจะตั้งที่ไหน หน้าที่การงานเราอยู่ตรงไหน เพราะจิตยังไม่สงบเข้ามาไม่ถึงฐาน พอถึงฐาน...อ้อ! อ้อปั๊บ สิ่งที่เป็นฐานของเรา เราเกิดจากหน้าที่การงานของเรา เพราะจิตมันสงบเข้ามา จับจิตได้ เห็นจิตได้ จิตนี้ออกวิปัสสนาได้ นี่ธรรมะของเราจะเกิดตรงนี้ เกิดเพราะอะไร เกิดเพราะจิตของเรา สมาธิของเรา แล้วปัญญาของเรามันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากข้อเท็จจริงในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาจากข้อมูล จากทำวิจัยธรรมะของพระพุทธเจ้า
ปัญญาสายตรงๆ มันปัญญาของพระพุทธเจ้า เราใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้ามาทำการวิจัย วิจัยแล้วก็เก็บไว้ในลิ้นชักไง วิจัยแล้วมันไม่สำรวจของเรา มันมีคุณค่าทางบัญชีขึ้นมาเป็นของเราไหม มันมีผลประโยชน์กับเราขึ้นมาไหม มีแต่ความรู้ขึ้นมา ทำวิจัยขึ้นมาเพื่อรู้นิดหน่อย รู้ว่ามันควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ยังไม่ได้ทำ
แต่ถ้ามันเป็นปัญญาของเรา ปัญญาของเราที่เกิดขึ้นมา โลกุตตรปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นมาจากเรา ทำการวิจัยธรรมะพระพุทธเจ้า นั่นน่ะคือสัญชาตญาณ นั่นน่ะคือโลกียปัญญา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น หมายถึงว่าปัญญาเรามีมากมีน้อย
ปัญญาวิมุตติ ใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ปัญญาเป็นตัวลากไป ปัญญาวิมุตติ
เจโตวิมุตติ สมาธิเป็นพื้นฐาน
เราทำงานวิจัยเรื่องสิ่งใด เราทำสิ่งใด แล้วหน้าที่การงานของเรา วิจัยแล้วตรงกับจริตนิสัย ตรงกับความพอใจของเราหรือไม่ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าวิปัสสนาขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา มันจะเป็นปัญญาของเรานะ นี่สิ่งที่เกิดขึ้นมา
สิ่งแวดล้อมที่ดี สิ่งแวดล้อมของใจ ถ้าใจมันสร้างสิ่งแวดล้อม มันมีการกลมกล่อมเข้ามา มันจะทวนกระแสเข้าไป สิ่งแวดล้อมของใจ ทวนกระแสเข้าไปหาใจ ปลาเป็นมันจะทวนกระแสน้ำขึ้นไปวางไข่ ปลาที่มันตายแล้วน่ะ มันจะลอยไปตามกระแสน้ำไง นี่เราคิดตามโลก ตามความรู้สึกของเรา เหมือนปลาตาย นี่ทำวิจัยเหมือนปลาตายไหลไปตามกระแส มันไม่ทวนกระแสเข้าไปได้เลย ถ้าทวนกระแสเข้าไป ปลาเป็นมันจะว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไป ทวนกระแสน้ำเข้าไปในความรู้สึกของเรา ทวนกระแสน้ำเข้าไปตัวใจของเรา ทวนกระแสน้ำเข้าไปภวาสวะ ไปทำลายอวิชชา ไปทำลายกิเลสของเรา สิ่งนี้ นี่สัจธรรมเกิดตรงนี้
สิ่งที่เรากระทำมานะ บุญกุศลสร้างมาขนาดไหน มันก็ลำบาก ลำบากว่ามันมีความโต้แย้งในใจ มันขี้เกียจขี้คร้าน มันไม่อยากไป มันตระหนี่ สิ่งนี้มันยังทำยากเลย แล้วจะเอาชนะใจของตัวนะ เอาชนะใจของตัวด้วยการข่ม ข่มไว้นี่เป็นขันติธรรม ขันติข่มมันไว้ เวลามันเจ็บมันปวด มันไม่มีการกระทำ อดทน ความอดทนอดกลั้นนี่คือขันติธรรม
ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ไม่ใช่ขันติธรรม ขันติธรรมเป็นการอดกลั้น เหมือนเบรก เราห้ามล้อไว้ ไม่ให้เราถอยร่นไปมากกว่านั้น แล้วเราใช้สติของเรา เราใช้ปัญญาของเราต่อสู้เพื่อให้เราใช้ปัญญาที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น แล้วปัญญาอย่างนี้มันปัญญาที่ต้องการเอาชนะตัวเอง นั่งสมาธิภาวนา เวลาใจของเราฟุ้งซ่าน เรานั่งไม่ได้หรอก มันร้อน มันจะทำให้เราลุกจากที่นั้นไป แล้วเราต้องนั่ง บังคับให้จิตเรานั่งที่นั่น บอกว่าการทำทานก็เป็นอย่างหนึ่ง สมาธิภาวนานะ การทำใจของเราให้พ้นจากกิเลส มันเป็นงานที่แสนยาก คำว่าแสนยากนะ แต่ไม่สุดวิสัยมนุษย์นะ
ในการประพฤติปฏิบัติของพวกเรา เราแสวงหาแต่ความสะดวก สิ่งที่ใครจะชี้นำเราไปในทางที่ดี ก็เลยเป็นเหยื่อไง เป็นเหยื่อนะ เดี๋ยวนี้สำนักปฏิบัติสอนกันร้อยแปดพันเก้า อะไรก็ทางลัดๆ...ลัดลงนรกไง จิตใจเราก็เป็นนรกอยู่แล้วนะ มันเผาลนในหัวใจ แล้วเราก็จะไปทางลัด ให้มันลัดเข้าไป มันเป็นการมักง่าย คนมักง่าย คนสะเพร่า คนทำงานสุรุ่ยสุร่าย คนนั้นจะได้ประโยชน์ได้ไหม จะประสบความสำเร็จได้ไหม นี่เอามาคิดสิ เอามาคิด.. แต่เราก็ชอบ ใครบอกว่าทางนี้ทางง่ายทางสะดวกไปหมดเลย เพราะการปฏิบัติมันยาก.. ยาก.. แต่เป็นข้อเท็จจริง
การเกิดมาอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน ทุกข์มาก คลอดออกมาแล้วเป็นเรานี่สบาย นั่งหายใจสะดวกสบายเลย อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนน่ะ ต้องขดตัวอยู่ในครรภ์อยู่ ๙ เดือน เราลืมไปแล้ว นี่เหมือนกัน มันเป็นข้อเท็จจริง นี่ปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาเรานั่งสมาธิภาวนา เราต้องบังคับมัน เราถึงต้องต่อสู้เพื่อชีวิตนี้ อยู่ในครรภ์ ๙ เดือน เวลาออกมาแล้วสะดวกสบาย สะดวกสบายสิ เพราะมันได้สิทธินี้มาแล้ว เพราะมันเป็นมนุษย์สมบัตินี่ นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาสะดวกสบาย เราจะเอาง่ายๆ เอาง่ายก็เลยเป็นเหยื่อ
แต่ถ้าเอาตามข้อเท็จจริง ทุกข์ก็ต้องยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์ มีความมานะ พยายาม อุตสาหะ บากบั่นของเรา เป็นความเพียรชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในมรรค ๘ มีความเพียรชอบ คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะของเรา ไม่ใช่ความว่าที่ไหนมันสะดวกสบาย สะดวกสบาย...กิเลสมันหลอกทั้งนั้นน่ะ กิเลสทั้งนั้นน่ะ เราทำหน้าที่การงานมา เราหาเงินมา มันสะดวกสบายไหมล่ะ คนถูกหวยน่ะ ใช่ มันถูกหวยน่ะ มันเสี่ยงโชคของเขา เขาได้มาโดยที่เขาไม่ต้องทำหน้าที่การงาน แต่มันจะมีกี่คน แล้วเราจะไปเชื่อสิ่งนั้นนะ เราจะมีฐานะ ไม่มีฐานะ เราต้องทำหน้าที่การงานของเรา เราจะพ้นจากทุกข์ เราก็ต้องมีความเพียรของเรา
ว่างๆ ว่างๆ เขาปล่อยวางกัน ศาสนาพุทธๆ ศาสนาบอกให้ปล่อยวาง ให้ว่าง นั่นว่างแบบขี้ลอยน้ำ ว่างแบบไม่มีต้นไม่มีเหตุมีผล ว่างแบบใช้ชีวิตไปเสียเวล่ำเวลาไปโดยใช่เหตุ ว่างแบบคนที่ไม่มีสาระในชีวิตของตัว ไม่เห็นคุณค่าในชีวิต ไม่เห็นคุณค่าในการเกิดและการตาย ว่างแบบนั้นว่างแบบมารไง ว่างแบบกิเลส ว่างแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิริยะอุตสาหะ มีความเพียรแล้วว่าง! คือไปรู้จริง รู้แจ้ง แล้วปล่อยวาง ว่างมันต้องว่างแบบรู้แจ้ง แล้วว่างแบบเข้าใจกิเลส ว่างอันนี้ประเสริฐมาก
ศาสนามีคุณค่า เราอุตส่าห์มาทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลแล้วฟังธรรม แล้วธรรมะมันจะสะเทือนหัวใจเรา ชีวิตนี้มีอะไรบ้าง หน้าที่การงาน การทำมาทั้งชีวิต มันจะตอบสนองชีวิตเราได้แค่ไหน สมบัติของโลกนะ เราตายไปแล้ว ของลูกของหลาน เป็นของในตระกูลเรา แล้วเรามีอะไรติดมือเราไป ของของเราจะมีอะไรติดมือไป ให้เขาอุทิศส่วนกุศลให้เหรอ แล้วของเราล่ะ หน้าที่การงานของเราล่ะ แล้วความรู้ของเราล่ะ นี่เป็นจริตนิสัย เพื่ออนาคตข้างหน้าจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง